วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

BMW 1 Series 116i M Sport (F20) Review

BMW 1 Series (F20) M Sport (ภาพจาก Internet)

BMW 1 Series (F20)

ซีรีส์ 1 เป็นรถระดับ Compact Car จาก BMW ที่วางจำหน่ายเป็น รุ่นที่ 2 โดยมีรหัสตัวถังเป็น F20 5 ประตู และ F21 3 ประตู  ส่วนรุ่นตัวถัง 2 ประตู จะเปลี่ยนเป็นซีรีย์ 2 รหัสตัวถัง F22 
รายละเอียดเพิ่มเติม http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_1_Series_(F20)

สำหรับในรีวิวนี้ จะเป็น BMW 116i M Sport ที่เปิดตัวในไทยในปี 2013 เป็นรหัสตัวถัง F20 5 ประตู Hatchback พร้อมชุดแต่ง M Sport รอบคัน (ทั้งภายนอก และภายใน) ที่มีคู่แข่งโดยตรงเป็น Mercedes-Benz A180 ซึ่งเป้นรถ Premium Brand ระดับเริ่มต้น (Entry Level ) ชนิด 5 ประตู Hatchback เหมือนกัน และยังเป็นเครื่อง 1.6 ลิตร เท่ากัน และราคาใกล้เคียงกัน แต่แตกต่างกันตรงระบบขับเคลื่อน โดย BMW 1 Series เป็นรถ FR คือ เครื่องอยู่หน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง (ซึ่งปัจจุบัน ถือเป็นรถ 5 ประตู Hatchback รุ่นเดียวในโลก ที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง) ส่วนทาง Mercedes-Benz A Class เป็น FF คือเครื่องอยู่หน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า (เช่นเดียวกับรถ Hatchback ในท้องตลาด ทั่ว ๆ ไป เช่น VW Golf, Scirocco, Mazda 3 ฯลฯ


Mercedes-Benz A Class (ไม่มีชุดแต่ง AMG)
BMW 1 Series (ไม่มี ชุดแต่ง M Sport)
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก สื่อต่างประเทศ ต่างลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า A Class สวยงาม และลงตัวกว่าอย่างเห็นใด้ชัด โดยตำหนิ BMW ในส่วนของ "กระจังหน้า" ทีไม่ได้ไปในแนวทางเดียวกับ 3 Series หรือ 5 Series แบบรุ่นก่อน (E87) และส่วนของไฟหน้า ที่มีลักษณ์ย้อยลงมาดูแล้วให้อารมณ์เศร้า แต่สำหรับ BMW 116i ในรีวิวนี้ มาพร้อมชุดแต่ง M Sport รอบคัน คือ กันชนหน้า (รวมไปถึงกระจังหน้า) และ Skirt ข้าง และกันชนหลัง ซึ่งเพิ่มความสวยงามได้มากเลยทีเดียว (สวยกว่า A180 แน่นอน แต่ชนะ A250 ที่มาพร้อม AMG หรือไม่ ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน ^_^)







ในส่วนของไฟหน้า เป็น Xenon พร้อมวงแหวน ซึ่งทำหน้าที่เป็น Daytime Driving Lights อยู่หลังโคมพลาสติกใส มีไฟเลี้ยวอยู่ภายใน กระจังหน้าพร้อมช่องลมขนาดใหญ่ทั้งบนและล่าง มองเห็นรังผึ้งชัดเจน และมีไฟตัดหมอกเล็ก ๆ อยู่ด้านล่าง 



โดยในส่วนของ ไฟหน้าสามารถเปิดปิดได้จากสวิตช์ทางด้านขวาของ พวงมาลัยตามรูป 
รูปไฟ พร้อมตัว A หมายถึง Auto, 0 ปิด (Daytime Driving Lights จะยังติดอยู่), ไฟต่ำ, ไฟธรรมดาบางที Mode Auto อาจจะน่ารำคาญ เพราะแค่เข้าใต้ร่มเงา ไฟก็ติดขึ้นมาทันที



สำหรับ Daytime Driving Lights สามารถเปิด/ปิด ได้จาก iDrive (Settings -> Light -> Daytime Driving Lights)





Skirt ข้าง M Sport มีเส้นสาย รายละเอียดมากกว่า Skirt Standard แบบไม่มีชุดแต่ง
กระจกข้างสีเดียวกับตัวรถ มือจับที่เปิดประตูสีเดียวกับตัวรถ
เสา B ของกระจก เป็นสีดำเงา



และที่ขาดไม่ได้ ล้อ M Sport ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 225/45R17 และ 245/40R17 ชนิด Run Flat
และเนื่องจากยาง Run Flat เมื่อไม่มีลม จะดูไม่ค่อยออกว่ายางแบนเนื่องจากเป้นยางที่เสริมแก้มยางมาให้แข็งแรง เพื่อให้วิ่งต่อไปได้ ดังนั้น รถจะต้องมีระบบเช็คลมยาง โดยจะเช็คจากความเร็วในการหมุน หาก Sensors พบว่า ล้อใดหมุนเร็ว (วงรอบเล็กกว่าล้ออื่น ๆ เพราะยางแบน) ก็จะแจ้งเตือนลมยาง เพื่อให้ตรวจสอบแก้ไขต่อไฟ

(รูปหลังรถ)
ไฟเบรค 3 ดวง (ซ้าย/วาง/Spoiler) ไฟถอยหลัง จะอยู่ทางด้านซ้าย 1 ดวง ส่วนทางด้านขวา จะเป็นไฟตัดหมอกหลัง เปิดฝาท้ายโดยการกดที่ด้านบนของ Logo BMW เพื่อเปิด Lock และยกประตูหลังขึ้น


ภายในสีดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เบาะ ประตู เสา และ หลังคา!



ปุ่มติด/ดับเครื่อง และปุ่มเปิด/ปิด ระบบ idling stop (ที่ต้องปิดเองตลอด ไม่งั้นเครื่องดับตลอด)

เข็มความเร็ว และเข็มแสดงปริมาณน้ำมันอยู่ทางซ้าย
(ที่เห็นจุดสีเขียวคือ Speed Limit สามารถตั้งได้จากพวงมาลัย โดยความเร็วจะมาหยุดที่จุดนี้ แต่ถ้า Kick Down จะข้ามไปได้)
เข็มวัดรอบ ด้านล่างไม่มี แถบแสดงอัตราสิ้นเปลือง หรือ สถานะ Efficient Dynamics (น่าเสียดายมาก!)
หน้าจอด้านล่างแสดงข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับรถ เลือกสถานีัวิทยุ หรือเลือกเบอร์ที่จะโทรออก



จอ iDrive ขนาด 6.5"
ไม่มี NAV; รวมถึงไม่มีเข็มแสดงแรงม้า/แรงบิด ไม่มีกราฟอัตราสิ้นเปลือง และดู VDO อะไรไม่ได้เลย :(
ช่องแอร์ พร้อมที่เปิดปิด ซ้ายขวา
สวิตช์ไฟฉุกเฉิน และ สวิตช์ปลดล๊อคประตู
ปุ่ม Preset หน้าจอ หรือช่องวิทยุ ช่องใส่ CD
ระบบปรับอากาศแบบ Manual (ปุ่มอากาศหมุนเวียนในรถ ทำงานอัตโนมัติ ไม่ต้องคอยกด)



เกียร์ไฟฟ้า BMW Electronic Gear Shift สามารถดันไปทางซ้าย เพื่อเปลี่ยนเกียร์เอง 
พร้อมสวิตช์เปลี่ยน Mode การขับ Comfort, ECO Pro, Sport, Sport+ 
และสวิตช์เปิด/ปิด Dynamic Traction Control (DTC)




พวงมาลัย M Sport หุ้มหนัง (ไม่ใช้หนังกลับ)
ด้านซ้ายเป็นปุ่ม LIM (Speed Limit) และปุ่มขึ้นลง สำหรับปรับ Speed Limit
ไม่มี Cruis Control แต่ก็พอใช้ LIM แทนได้อยู่
ด้านขวา มีปุ่มปรับ Volume วิทยุ เปลี่ยน Mode วิทยุ รับสาย/วางสาย และที่หมุน เลือกช่องวิทยุได้


(รูปเบาะหน้า)
เบาะหนังกลับเทียม กึ่งผ้า พร้อมขลิบสี M Sport เล็ก ๆ พอให้รู้ว่าไม่ธรรมดา
สามารถปรับ สูงต่ำ ก้มเงยเบา พนักพึ่งแบบ ยืดหดที่รองขา Manual :) ทั้ง คนขับ/คนนั้ง
และปรับปีกเบาะ (ให้บีบตัว) ด้วยไฟฟ้า !?!??? (ทีงี้ดันเป็นไฟฟ้า)


(รูปพับเบาะหลัง)

เบาะหลังพับเรียบ แบบ 60:40 กรณีต้องขนของบ้างอะไรบ้าง
และที่ยึดเบาะเด็กแบบ ISO

การขับขี่ / ข้อมูลทางเทคนิค

เครื่องยนต์ รหัส N13B16 136 แรงม้า แรงบิด 220/240 N.m (ไม่แน่ใจว่าได้ตัวไหนมา) ซึ่งเป็นเครื่องตัวเดียวกับ 118i แต่ Set แรงม้า/แรงบิดต่างกัน (ใน Forum ต่างประเทศคุยกันไว้ว่า Part ทุกชิ้น ของ 116i และ 118i เหมือนกันทั้งหมด ยกเว้นท่อไอเสียของ 118i ที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น โดยของ 118i มี 170 แรงม้า แรงบิด 250 N.m

(รูปเครื่องยนต์)

สำหรับเครื่องตัวนี้ เป็นเครื่อง 1.6 ลิตร ที่พัฒนาร่วมกับระหว่าง BMW กับ PSA Peugeot Citroën จึงถูกใช้ใน Peugeot และ Citroen หลายรุ่น ทั้งแบบ N/A (ไม่มีระบบอัดอากาศ) และแบบ มี Turbo และเครื่องตัวนี้ ได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครื่อง Turbo สำหรับ Mini Cooper S และ BMW อีกหลายรุ่น รวมถึง 116i คันนี้ด้วย
ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_N13

ระบบส่งกำลังเป็น Automatics 8 Speed แบบ Dual Clutch ที่เร็ว และนุ่มนวล มาก! ถ้าไม่ดูเข็มวัดรอบ จะไม่รู้เลยว่ามีการเปลี่ยนเกียร์ ไม่ว่าจะปล่อยให้เกียร์เปลี่ยนเอง หรือ Mode Manual ก็ตาม
โดยใน Mode Sport หรือ Sport+ รถแทบจะ kick down ตลอดเวลา เพื่อให้เร่งได้เร็วที่สุด แต่ก็ยังถือว่าเปลี่ยนเกียร์ได้นิ่มมาก (จริง ๆ อยากให้กระชากซักหน่อย) ส่วนใน Mode ECO Pro จะเปลี่ยนเกียร์ช้า และ kick down ได้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่สามารถเร่งความเร็วได้เป็นปรกติ

สำหรับการออกตัว หากขับรถญี่ปุ่นมา อาจต้องปรับตัวซักหน่อย เนื่องจากรถจะไม่ได้พุ่งทันที เมื่อแตะคันเร่ง (อาการคล้าย ๆ ออกตัวด้วยเกียร์ 2) แต่เมื่อเริ่มวิ่งแล้ว Turbo จะสร้างแรงบิดต่อเนื่องได้แบบ Flat Torque เลยทีเดียว และเมื่อเหยียบคันเร่งจนสุด จะไปกดโดนสวิตช์ Kick Down ใต้คันเร่ง เครื่องจะเร่งไปจนแตะ Red Line ในทันที

(ตัวเลข 0-100 / 80-120 จะ Test มาลง อีกครั้งหลังจากพ้นระยะ run in แล้วนะครับ)
(คลิป 0-120)


(รูปเข้าโค้ง)

ช่วงล่าง เกาะถนนสไตล์ BMW แน่นอน แต่ไม่ได้เป็นช่วงล่าง M Sport จึงมี Body Roll (ย้วย) อยู่บ้าง
แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะมี DSC ควบคุมดูแลให้อย่างใกล้ชิด ส่วนเฟืองท้ายเป็นแบบ Open-Diff ซึ่งก็หมายความว่า ไม่มี Limited Slip ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ BMW ให้ระบบ DSC ทำงานร่วมกับ ABS เพื่อจำลอง Limited Slip ปลอม ๆ มาให้โดยเรียกว่า eLSD เนื่องจาก เฟืองท้าย Open-Diff หาก Load ที่ล้อซ้าย/ขวา ไม่เท่ากัน ล้อฝั่งที่ Load น้อยกว่า จะหมุนฟรี เช่นขณะเร่งในโค้ง น้ำหนักจะไปลงล้อฝั่งนอกโค้ง ซึ่งจะให้ให้ล้อในโค้ง หมุนฟรี และไม่มีแรงส่งออกจากโค้ง เนื่องจากกำลังจากเครื่องยนต์ ไม่ได้ลงไปที่ถนน ในรถที่มี LSD จะป้องกันไม่ให้ล้อทั้ง 2 ฝั่งมีความเร็วต่างกัน ดังนั้น รถมี LSD จะส่งกำลังจากเครื่องยนต์ลงพื้นได้ดีกว่า Open-Diff ส่วน eLSD ของ BMW ทำงานโดยการเพิ่ม Load เข้าไปในล้อที่ฟรี โดยการใช้ปั๊ม ABS ส่งแรงเบรคเมื่อตรวจพบว่าล้อเริ่มจะฟรี ดังนั้นแทนที่แรงจากเครื่องยนต์ จะลงไปที่ล้อที่ Load น้อย แล้วปั่นล้อจนฟรี ก็จะส่งแรงไปลงที่ล้อที่จับถนนอยู่แทน (เนื่องจากรถไม่ยอมให้ล้อฟรี) ซึ่ง Function นี้ปิดไม่ได้ (แม้ว่าจะปิด DSC แล้วก็ตาม)

อ้างอิง: http://www.1addicts.com/forums/showthread.php?t=719012

ความปลอดภัย


ความคิดเห็นส่วนตัว
- เครื่องยนต์ 1.6 Turbo เน้นไปทางแรงบิด จะเหมือนขับ Vigo D4D นิดนึง คือ ออกตัวช้ากว่า พวก 1500cc (คล้าย ๆ ออกตัวด้วยเกียร์ 2) ไม่กระชาก พอถึง 2000 รอบ ก็จะมีแรงบิดรุณแรง ยาวไป แล้วก็หมดแรง เหลือแต่รอบ

 - เกียร์ เปลี่ยนนิ่มมาก ไม่รู้สึกเลย
 ใน Comfort Mode ผมไม่ได้ใช้เลย
ส่วน ECO Pro จะคิดช้า Kick down ช้า (แต่ Kick แล้วก็มาเต็ม)
ส่วน Sport เล่นไป 2-3 ครั้ง พุ่งมากน่ากลัว ไม่แนะนำ มันจะเลี้ยงรอบเครื่องไว้เอาแรงบิดตลอดเวลา แล้วก็ปรับความไว้คันเร่งไว้ kick down ตลอดเวลา 

สรุป
ขับสนุกมากครับ แต่มีระบบโน้นนี่นั้นเข้ามา แทรกตลอด
เช่น ขับ ๆ อยู่ถอนคันเร่ง ก็กลายเป็น Engine Brake 
หรือระหว่าง เบรคชลอรถ จะมีพลังที่มองไม่เห็นมาช่วย คือ มี Engine Brake (อีกแล้ว) มาเป็นจังหวะ ตามที่มันเปลี่ยนเกียร์ลง
หรือ แค่อยากเพิ่มความเร็วนิดหน่อย มันก็ kick down ซะงั้น (สงสัยยังไม่ชิน) 

สิ่งที่น่าเสียดาย สำหรับรุ่นที่ขายอยู่ปัจจุบัน
1. ไม่มีเข็ม Eff Dynamic (ปรกติ BMW ต้องมีเข็มบอก อัตราสิ้นเปลือง ณ เวลาปัจจุบัน)
2. ไม่มี Smart Entry
 3. เบาะหลัง หลังตรงมากกกกก

ข้อมูลเพิ่มเติม:
- รถประกอบที่เยอรมัน ไม่ใช่ India ตามที่มีคนให้ข้อมูลไว้ตาม Webboard ต่าง ๆ
- AC Schnitzer performance upgrade 1er-F20 อัพเป็น 204 แรงม้า แรงบิด 290 N.m

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

Yoobao Mytour POWER BANK + WiFi

Yoobao Mytour POWER BANK + WiFi (YB-628)

พอดีเล่น Facebook ตามประสาคนทำงานหน้าคอม เห็นป้ายโฆษณา เวปขายของออนไลน์ เลยกดเข้าไปดู เห็นหน้าตาสวยดี มี Port LAN ให้ชวนสงสัย มี Icon Wifi ให้สงสัยหนักขึ้นไปอีก ก็เลยสั่งมา
ดันมาเร็ว กดไปเมื่อวาน วันนี้ได้ของแล้ว ก็เลยเอามาลองเล่นให้ชมกันทั่ว ๆ




เห็นยี่ห้อ Yoobao ก็คงไม่ต้องสงสัยว่า เครื่องนี้ คืออะไร ก็ตามชื่อสินค้าเลย Power Bank โดยรุ่นนี้มีรหัสว่า (YB-628) โม้ความจุไว้ 5200mAh (น่าจะพอชาร์ทมือถือทั่วไปได้ซัก 2 รอบ) แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจในวันนี้


แกะกล่องออกมา ห่อตัวเครื่องด้วยอะไรพลาสติกอะไรซักอย่างนิ่ม ๆ ช่างมันเราไม่ได้สนใจตรงนั้น
แกะชาร์ทเลยดีกว่า มีหัวแปลง เป็น iPhone บ้าง อะไรบ้าง ช่างมัน ไม่สน


เพื่อให้เข้าใจง่าย เอามาเทียบแบงค์ 20 จะได้นึกขนาดออกกัน


มุมนี้ดูดี ดูผ่าน ๆ นึกว่า Apple TV อิอิ
มี Switch ดันขึ้นลง ทางด้านซ้าย ปรับลง เป็น Power Bank ปรับขึ้น เป็น Wifi
ปุ่มกด ทางด้านขวา เอาไว้ปลุกมาดู %แบตที่เหลือ กับ กดแช่เพื่อเปิดไฟ (เป็นไฟฉาย)


ไม่ชาร์ทละ เสียเวลา ปรับสวิตช์ด้านซ้ายขึ้น หยิบ Aircard Huawai E173 มาเสียบซะเลย จะได้รู้ดำรู้แดง 
เสียบปั๊บ อ้าว... กลับด้าน ไม่สวยเลย
(สำหรับ E173 ตัวนี้ เป็น OEM ของทุกยี่ห้อในตลาด ให้ดูหน้าตาแบบนี้ รับรองใช้ได้แน่นอน)


วางตั้ง หันหลังซะหน่อย เริ่มดูดี แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจเหมือนเดิม ไปต่อ....


เปิด Notebook ให้หา Wifi แถวนี้ ก็จะเจอ YOOBAO_XXXX (4 ตัวหลังเป็น Serial เครื่อง)
สัญญาณแรงดี (ก็วางไว้ติดกันเลยนินา -_-!)
ไม่รอช้ากด Connect ซะ

เรียบร้อย... ได้ IP สวยงาม ที่ 54.0 Mbps (ไม่รู้ Support Wireless-N รึปล่าว แต่ก็ช่างมันเถอะ)
มอง IP แล้วก็เดาเอาเองว่า Router อยู่ที่ .1 แน่นอน ก็เปิด Browser ลุยเลย


มาจริง ๆด้วย...
เค้าว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัด สงสัยจะจริง เพราะคู่มือก็ยังคงพับอยู่ อิอิ
ไปด้วยสัญชาติญาณละกันนะ
ไม่รอช้า กด ICON 3G เลย ดูซิว่าทำอะไรได้บ้าง



ตั้งค่า APN ซะหน่อย
สำหรับ AIS TOT ทั้งหลาย ใช้ internet
DTAC ใช้ www.dtac.co.th
True ใช้ Internet (และใส่ user: true, password: true ด้วยนะคับ)
แล้วกด Apply
มี Alert บอกว่าจะ Reboot .. เฮ้ย.. นี่มัน Battery จริงป่าวเนี่ย
รอซักพัก


ไฟสีฟ้าติด... แสดงว่า AirCard ต่อ Internet ได้แล้ว
กดที่รูปบ้าน (Home) จะแสดงข้อมูลต่าง ๆ ที่เราอยากรู้


ได้ IP Gateway DNS เรียบร้อย


ข้อมูล IP ฝั่ง Wifi 
จบ.. เล่นเนตได้


ส่วนเรื่อง Power Bank ว่าชาร์ทอะไร ได้กี่รอบ ก็ไปลองกันเองจ้า...
แต่ถ้าเอาแน่นอน รุ่นพี่ตัวใหญ่ ชาร์ทได้หลายรอบ จนกว่าจะเบื่อเลยทีเดียว

และ Function อื่น ๆ
- เสียบสาย LAN เข้า ADSL Modem ทำตัวเป็น Wifi Router ได้ (คงไม่มีใครบ้าใช้ Function นี้)
- เสียบสาย LAN แชร์ Net ออก Wifi (คงมีโอกาศใช้น้อยมากมาก)
- เสียบ USB-Storage แชร์ไฟล์ผ่าน Wifi

จะมาเขียนอีกครั้ง
จบ...จริง ๆ ละ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หูฟัง 3.5mm กับเรื่องวุ่น ๆ สไตล์อเมริกัน

วันนี้โทรศัพท์ในมือทุกคน คงหนีไม่พ้น Apple iPhone, Samsung Galaxy, OPPO, Motorola, Sony Ericsson, Nokia ฯลฯ จะเป็น iOS/Android/Windows ก็แล้วแต่ชอบ แต่ที่แน่ ๆ คือ โทรศัพท์มือถือนั้น สามารถฟังเพลงได้ อย่างแน่นอน แต่ด้วยข้อจำกัดทางวิศวกรรม ลำโพงที่อยู่ที่เครื่องโทรศัพท์นั้น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของนักฟังเพลงได้เต็มที่อย่างแน่นอน หลาย ๆ คนมองหา Docking System เพื่อให้เครื่องโทรศัพท์ ได้ส่งสัญญาณไปยังลำโพง/ชุดเครื่องเสียงอื่น ๆ ได้ไม่ต่างกับเครื่องเสียงชั้นดี แต่หากจะแบก Docking เดินไปไหนมาไหนคงไม่เหมาะ ดังนั้งสิ่งที่ตอบโจทย์ ก็คือ "หูฟัง"

หูฟังสำหรับโทรศัพท์มือถือ สมัยนี้ ทุกยี่ห้อเลือกใช้ขนาดมาตรฐานคือ 3.5mm ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่ พยายามจะทำ Jack ให้แปลกประหลาด เฉพาะยี่ห้อของใครของมันเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้ปวดหัวไม่มาก ก็น้อย ในการจะเปลี่ยนหูฟัง ที่ตนเองต้องการ แต่...... 3.5mm ก็ยังสร้างเรื่องปวดหัวได้อยู่ดี........

ในกรณีเป็น Jack Stereo ธรรมดา สำหรับเครื่องเล่นทั่ว ๆ ไป ก็คงไม่มีอะไรวุ่นวาย เพราะมีเพียงแค่ 3 ช่อง ก็เป็นได้แค่ Ground, ซ้าย, ขวา ซึ่งโดยปรกติ (หรือมาตรฐาน) แล้ว ตรงปลายสุด จะเป็น สัญญาณเสียงลำโพงซ้าย ตรงกลางจะเป็น สัญญาณเสียงลำโพงขวา และตรงโคนจะเป็น Ground ตามรูป


แต่ปัญหามันมาเกิดตรงที่ เราจะใช้เป็น Small Talk ด้วย เนื่องจากโทรศัพท์เอาไว้คุย ดังนั้นต้องมีสัญญาณสำหรับไมโครโฟนดังนั้น ก็ต้องเพิ่มเข้าไปอีกปล้อง.... และปัญหาก็เกิด

คราวนี้มี 4 ปล้องแล้ว.. แต่ละยี่ห้อก็อยู่กันคนละทวีป ต่างคนต่างทำ ไม่คุยกัน บางยี่ห้อก็ใช้แค่เป็นไมโครโฟน บางยี่ห้อก็ใส่ สวิสตช์เข้าไป จะได้กดรับสาย วางสาย สลับสาย ฯลฯ ปัญหาก็เลยตกมาอยู่ที่ผู้ใช้...

ทำไมถึงเป็นปัญหา
เพราะปล้องที่เพิ่มขึ้นมา แล้วไม่ได้ตกลงกัน (หรือตั้งใจไม่ตกลงกัน)
เลยมี 2 แบบในท้องตลาด

แบบแรก [ Ground ] [ Mic ] [ Right ] [ Left ]>
แบบที่ 2  [ Mic ] [ Ground ] [ Right ] [ Left ]>
(หารูปไม่ได้ แล้วก็ขี้เกียจวาดด้วย)

ซึ่งจริง ๆ ตามหลักแล้ว ทุกยี่ห้อควรจะใช้แบบแรก คือให้โคนเป็น Ground เหมือนเดิม แล้วแทรก Mic ลงไป แต่... แน่นอน สไตล์อเมริกัน ทำอะไรเหมือนใครไม่เป็น ต้องพยายามสร้าง(ไม่)มาตรฐานขึ้นมา
นั่นก็คือ.... Apple iPhone นั่นเอง... พอ iPhone ทำแปลก แต่ดัง เหล่าผู้ผลิตหูฟังทั้งหลายก็พยายาม ทำตามแบบ iPhone (คนใช้เยอะ ก็ถือเป็นมาตรฐานได้แบบนึง)

แล้วปัญหามันเป็นยังไง หากซื้อหูฟัง ไม่ตรงกับเครื่องมือถือของ 
1. แน่นอน ไมโครโฟน จะใช้ไม่ได้ เพราะสัญญาณจะโดนช๊อตลง Ground 
2. สัญญาณเสียงจะผ่าน วงจรสวิสตช์ และไมโครโฟน เสียงจะแย่มาก ถึงแย่ที่สุด (แต่พอกดปุ่มรับสาย เสียงดีซะงั้น; เพราะปุ่มรับสายคือการ ช๊อต Mic/Ground เข้าด้วยกัน)

หรือที่เราเคยได้ยินสาวกคุยกัน
- หูฟัง Samsung ห่วย ใช้กับ iPhone เสียงไม่ได้เรื่อง...
- หูฟัง iPhone ห่วย เอามาเทียบกับหูฟัง Samsung ที่เครื่องเดียวกันไม่ได้
- Samsung นิสัยไม่ได้ กั๊ก ไม่ให้ใช้หูฟังกับ iPhone
ฯลฯ

สรุป ก่อนซื้อหูฟัง อ่านให้ชัวร์ว่าสำหรับเครื่องอะไร
หรือถ้าลองได้ ลองก่อนนะคับ ^_^